แบบทดสอบสังคม ม.2 เรื่อง ทวีปยุโรป
วิชชุดา ดรุณี
วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ประเทศในทวีปยุโรป
ประเทศนอร์เวย์
ประเทศนอร์เวย์
กรุงออสโลว์
ข้อมูลทั่วไป
ที่ตั้ง
ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ซึ่งอยู่ทางเหนือของทวีปยุโรป
พื้นที่
385,364 ตร.กม.
ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ซึ่งอยู่ทางเหนือของทวีปยุโรป
พื้นที่
385,364 ตร.กม.
แผนที่
เมืองหลวง
กรุงออสโล เป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มีประชากรราว 500,000 คน
สภาพทางภูมิศาสตร์
นอร์เวย์ตั้งอยู่บนคาบสมุทรสแกนดิเนเวียซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของยุโรป มีพื้นที่ 385,155 ตารางกิโลเมตร (ประมาณร้อยละ 60 ของประเทศไทย) นอร์เวย์มีอาณาเขตทิศเหนือติดต่อกับทะเลบาร์เร็นท์ ทิศใต้ติดกับทะเลเหนือ ทิศตะวันออกติดกับสวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย และทิศตะวันตกติดกับทะเลนอร์เวย์ พื้นที่ส่วนใหญ่ของนอร์เวย์เป็นฟยอร์ด ธารน้ำแข็ง ทะเลสาบ หุบเขา ภูเขา และหน้าผาสูงชันที่ปกคลุมด้วยหิมะ
ภูมิอากาศ
เนื่องจากนอร์เวย์ตั้งอยู่ใกล้กับเขตขั้วโลกเหนือจึงมีอากาศหนาวเย็นถึง 6 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-เมษายน ซึ่งจะมีอุณหภูมิประมาณ 0 ถึง ติดลบ 40 องศาเซลเซียส โดยอากาศในกรุงออสโลจะหนาวที่สุดในเดือนธันวาคมและมกราคม (อาจติดลบถึง 20 องศาเซลเซียส)และมีหิมะตกตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนเมษายน ในช่วงฤดูหนาวระยะเวลากลางวันจะสั้นกว่าเวลากลางคืน โดยในเดือนธันวาคม-มกราคม จะมีแสงแดดเพียงวันละ 0-6 ชั่วโมงเท่านั้น ฤดูร้อนในนอร์เวย์มีระยะเวลาเพียง 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม โดยมีอุณหภูมิประมาณ 20-25 องศาเซลเซียส ในช่วงนั้นจะมีระยะเวลากลางวันยาวนานกว่าระยะเวลากลางคืน
ประชากร
สถิติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 นอร์เวย์มีประชากร 4,606,363 คน แยกเป็นชาย 2,284,070 คน หญิง 2,322,293 คน กรุงออสโลเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมีประชากร 529,846 คน รองลงมาได้แก่ เมือง Bergen 239,209 คน เมือง Trondhiem 156,161 คน เมือง Stavanger 113,991 คน และเมือง Baerum 104,690 คน อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร 0.55 ต่อปี
สถิติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 นอร์เวย์มีประชากร 4,606,363 คน แยกเป็นชาย 2,284,070 คน หญิง 2,322,293 คน กรุงออสโลเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมีประชากร 529,846 คน รองลงมาได้แก่ เมือง Bergen 239,209 คน เมือง Trondhiem 156,161 คน เมือง Stavanger 113,991 คน และเมือง Baerum 104,690 คน อัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร 0.55 ต่อปี
ภาษาและศาสนา
นอร์เวย์ใช้ภาษานอร์เวย์เป็นภาษาประจำชาติ (Bokmal และ Nynorak) คนนอร์เวย์มากกว่าร้อยละ 90 สามารถพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดี คนนอร์เวย์ร้อยละ 86 นับถือศาสนาคริสต์ (Church of Norway-Evangelical Lutheran)
นอร์เวย์ใช้ภาษานอร์เวย์เป็นภาษาประจำชาติ (Bokmal และ Nynorak) คนนอร์เวย์มากกว่าร้อยละ 90 สามารถพูดอ่านเขียนภาษาอังกฤษได้ดี คนนอร์เวย์ร้อยละ 86 นับถือศาสนาคริสต์ (Church of Norway-Evangelical Lutheran)
วันชาตินอร์เวย์
วันที่ 17 พฤษภาคม
วันที่ 17 พฤษภาคม
การเมืองการปกครอง
นอร์เวย์มีระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในฐานะ Head of state มีการแบ่งเขตปกครองเป็น 19 Countries และเขตการปกครองพิเศษ Svalbard นอกจากนี้ นอร์เวย์ยังมีรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล (Mucnipality) แต่เรียกว่า Kommune ซึ่งมี 435 Kommune ทั่วประเทศ
นอร์เวย์มีระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในฐานะ Head of state มีการแบ่งเขตปกครองเป็น 19 Countries และเขตการปกครองพิเศษ Svalbard นอกจากนี้ นอร์เวย์ยังมีรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล (Mucnipality) แต่เรียกว่า Kommune ซึ่งมี 435 Kommune ทั่วประเทศ
ระบบการเมือง
ระบบการเมืองนอร์เวย์มีรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 1814 โดยตั้งอยู่บนหลัก 3 ประการ คือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ และสิทธิมนุษยชน เป็นระบบรัฐสภาประกอบด้วยสมาชิก 165 คน มีการเลือกตั้งทุกๆ 4 ปีมีหน้าที่ในการออกกฎหมายต่างๆ โดยมีคณะบุคคลจำนวน 6 คน เรียกว่า Presidium นำโดยประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ในการพิจารณาบรรจุร่างกฎหมายเข้าสภาควบคุมการประชุมและอื่นๆ
ระบบการเมืองนอร์เวย์มีรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 1814 โดยตั้งอยู่บนหลัก 3 ประการ คือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ และสิทธิมนุษยชน เป็นระบบรัฐสภาประกอบด้วยสมาชิก 165 คน มีการเลือกตั้งทุกๆ 4 ปีมีหน้าที่ในการออกกฎหมายต่างๆ โดยมีคณะบุคคลจำนวน 6 คน เรียกว่า Presidium นำโดยประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ในการพิจารณาบรรจุร่างกฎหมายเข้าสภาควบคุมการประชุมและอื่นๆ
เศรษฐกิจ
นอร์เวย์มีระบบเศรษฐกิจแบบเสรี สถานะทางเศรษฐกิจของนอร์เวย์มีเสถียรภาพและมั่นคง รายได้หลักของนอร์เวย์ขึ้นอยู่กับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คิดเป็นร้อยละ 50-55 ของรายได้จาการส่งออกของนอร์เวย์ นอร์เวย์ไม่ได้เป็นสมาชิก EUแต่มีความตกลง EEA กับ EU และใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ทางการค้าเช่นเดียวกับประเทศใน EU มีการปกป้องภาคเกษตรกรค่อนข้างสูง
เศรษฐกิจที่มั่นคงและรายได้จากน้ำมันทำให้เงินโครนนอร์เวย์มีค่าแข็งขึ้น เมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างๆ โดยปัจจุบัน 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับประมาณ 6.2-6.3 โครนนอร์เวย์ หรือ 1 โครนนอร์เวย์เท่ากับประมาณ 6 บาท
ประเทศคู่ค้าสำคัญของนอร์เวย์ ได้แก่ สมาชิกสหภาพยุโรป (อังกฤษ เยอรมัน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลีและเบลเยี่ยม) สหรัฐ แคนาดา ญี่ปุ่น จีน(รวมฮ่องกง) และไต้หวัน สินค้าออกที่สำคัญของนอร์เวย์ ได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เหล็ก และเหล็กกล้า อลูมิเนียม เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง (รวมอุตสาหกรรมต่อเรือ) ปุ๋ย เคมีภัณฑ์ เยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์ประมง ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์ขนส่งทางเรือ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าและสิ่งทอ คอมพิวเตอร์ กระดาษและอาหาร
นอร์เวย์มีระบบเศรษฐกิจแบบเสรี สถานะทางเศรษฐกิจของนอร์เวย์มีเสถียรภาพและมั่นคง รายได้หลักของนอร์เวย์ขึ้นอยู่กับน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คิดเป็นร้อยละ 50-55 ของรายได้จาการส่งออกของนอร์เวย์ นอร์เวย์ไม่ได้เป็นสมาชิก EUแต่มีความตกลง EEA กับ EU และใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ทางการค้าเช่นเดียวกับประเทศใน EU มีการปกป้องภาคเกษตรกรค่อนข้างสูง
เศรษฐกิจที่มั่นคงและรายได้จากน้ำมันทำให้เงินโครนนอร์เวย์มีค่าแข็งขึ้น เมื่อเทียบกับเงินตราสกุลต่างๆ โดยปัจจุบัน 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับประมาณ 6.2-6.3 โครนนอร์เวย์ หรือ 1 โครนนอร์เวย์เท่ากับประมาณ 6 บาท
ประเทศคู่ค้าสำคัญของนอร์เวย์ ได้แก่ สมาชิกสหภาพยุโรป (อังกฤษ เยอรมัน สวีเดน เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก ฝรั่งเศส อิตาลีและเบลเยี่ยม) สหรัฐ แคนาดา ญี่ปุ่น จีน(รวมฮ่องกง) และไต้หวัน สินค้าออกที่สำคัญของนอร์เวย์ ได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เหล็ก และเหล็กกล้า อลูมิเนียม เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง (รวมอุตสาหกรรมต่อเรือ) ปุ๋ย เคมีภัณฑ์ เยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์ประมง ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องจักรอุตสาหกรรม เครื่องไฟฟ้า รถยนต์ อุปกรณ์ขนส่งทางเรือ เคมีภัณฑ์ เสื้อผ้าและสิ่งทอ คอมพิวเตอร์ กระดาษและอาหาร
สังคมวัฒนธรรม
นอร์เวย์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและมั่นคงของมนุษยชาติ (Human security) คนนอร์เวย์จึงมีใจเปิดกว้างสำหรับคนชาติอื่น และพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า ทำให้คนต่างชาติที่ได้รับสัญชาตินอร์เวย์อยู่ประมาณร้อยละ 8 ของจำนวนประชากรทั้งหมด (จำนวน 364,981คน สถิติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548) ส่วนมากเป็นชาวปากีสถาน ชาวเคิร์ด โซมาเลีย และเวียดนาม)
นอร์เวย์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและมั่นคงของมนุษยชาติ (Human security) คนนอร์เวย์จึงมีใจเปิดกว้างสำหรับคนชาติอื่น และพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ด้อยโอกาสกว่า ทำให้คนต่างชาติที่ได้รับสัญชาตินอร์เวย์อยู่ประมาณร้อยละ 8 ของจำนวนประชากรทั้งหมด (จำนวน 364,981คน สถิติเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548) ส่วนมากเป็นชาวปากีสถาน ชาวเคิร์ด โซมาเลีย และเวียดนาม)
สภาพความเป็นอยู่
ค่าครองชีพ เนื่องจากนอร์เวย์เป็นประเทศที่ร่ำรวย โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเฉลี่ยสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก คือประมาณ 34,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ทำให้ค่าครองชีพในนอร์เวย์จัดว่าสูงมากเป็นลำดับที่ 1 ในยุโรป การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 25 ของราคาสินค้า และภาษีสิ่งเแวดล้อม ทำให้ค่าครองชีพในนอร์เวย์สูงกว่าประเทศไทยประมาณ 5-6 เท่า
ความเป็นอยู่ในนอร์เวย์จัดว่าสะดวก และปลอดภัย มีห้างสรรพสินค้า ร้านขายสินค้าจำนวนมากในเมือง นอกจากนี้ยังมีห้างสรรพสินค้านอกเมืองอีกหลายแห่งรวมทั้ง Supermarket ตามแหล่งชุมชนต่างๆทำให้สามารถหาซื้อสินค้าเกือบทุกชนิด/ประเภท แต่สินค้าทุกอย่างจะมีราคาแพง และโดยที่มีคนเอเชียอาศัยอยู่ในนอร์เวย์เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย จึงมีคนไทย คนจีนและคนเวียดนาม เปิดร้านอาหารจีน ร้านอาหารไทย และร้านขายของชำที่มีส่วนประกอบและเครื่องปรุงอาหารจากเอเชียมากมายหลายชนิด ทั้งข้าว และผักสดจากเมืองไทย แต่สินค้าจะสูงกว่าในประเทศไทย อย่างน้อย 3-4 เท่า ถ้าเป็นผักผลไม้สดจะมีราคาสูงกว่าเมืองไทย 10 เท่าขึ้นไป
แหล่งบันเทิงค่อนข้างจำกัดและมีราคาแพง ความบันเทิงในบ้านจากโทรทัศน์และโรงภาพยนตร์ในนอร์เวย์ส่วนมากจะเป็น ภาพยนตร์อเมริกัน โดยเปิด Sound Track และมี Norwigian Subtitle ยกเว้นภาพยนตร์การ์ตูนและรายการสำหรับเด็ก จะพากย์ภาษานอร์เวย์โดยไม่มี English Subtitle
ค่าครองชีพ เนื่องจากนอร์เวย์เป็นประเทศที่ร่ำรวย โดยมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเฉลี่ยสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก คือประมาณ 34,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ทำให้ค่าครองชีพในนอร์เวย์จัดว่าสูงมากเป็นลำดับที่ 1 ในยุโรป การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ร้อยละ 25 ของราคาสินค้า และภาษีสิ่งเแวดล้อม ทำให้ค่าครองชีพในนอร์เวย์สูงกว่าประเทศไทยประมาณ 5-6 เท่า
ความเป็นอยู่ในนอร์เวย์จัดว่าสะดวก และปลอดภัย มีห้างสรรพสินค้า ร้านขายสินค้าจำนวนมากในเมือง นอกจากนี้ยังมีห้างสรรพสินค้านอกเมืองอีกหลายแห่งรวมทั้ง Supermarket ตามแหล่งชุมชนต่างๆทำให้สามารถหาซื้อสินค้าเกือบทุกชนิด/ประเภท แต่สินค้าทุกอย่างจะมีราคาแพง และโดยที่มีคนเอเชียอาศัยอยู่ในนอร์เวย์เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย จึงมีคนไทย คนจีนและคนเวียดนาม เปิดร้านอาหารจีน ร้านอาหารไทย และร้านขายของชำที่มีส่วนประกอบและเครื่องปรุงอาหารจากเอเชียมากมายหลายชนิด ทั้งข้าว และผักสดจากเมืองไทย แต่สินค้าจะสูงกว่าในประเทศไทย อย่างน้อย 3-4 เท่า ถ้าเป็นผักผลไม้สดจะมีราคาสูงกว่าเมืองไทย 10 เท่าขึ้นไป
แหล่งบันเทิงค่อนข้างจำกัดและมีราคาแพง ความบันเทิงในบ้านจากโทรทัศน์และโรงภาพยนตร์ในนอร์เวย์ส่วนมากจะเป็น ภาพยนตร์อเมริกัน โดยเปิด Sound Track และมี Norwigian Subtitle ยกเว้นภาพยนตร์การ์ตูนและรายการสำหรับเด็ก จะพากย์ภาษานอร์เวย์โดยไม่มี English Subtitle
การคมนาคม
ถนนในนอร์เวย์มีสภาพดี มีแผนที่บอกเส้นทางอยู่ทั่วไป ถนนส่วนใหญ่มีช่องทางวิ่งเล็ก และวิ่งสวนทาง (two-way traffic) แต่ก็มีความปลอดภัยสูงเพราะมีการจำกัดความเร็วรถยนต์ที่ 80-90 ก.ม./ ชั่วโมง สำหรับเขตชุมชนในเมือง ถนนหลายสายมีกล้องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ คนนอร์เวย์เคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎจราจร อุบัติเหตุบนท้องถนนจึงเกิดขึ้นน้อย ผู้ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎจราจรจะถูกปรับในอัตราที่สูงมาก คือประมาณ 500-2,500 โครนนอร์เวย์ รถยนต์ในนอร์เวย์วิ่งด้านขวา ที่จอดรถส่วนมากต้องเสียค่าที่จอดเป็นรายชั่วโมง ราคาชม.ละ 12-20 โครนนอร์เวย์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์ ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 9-12 โครนต่อลิตร ผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หากกระทำผิดนอกจากถูกปรับแล้วยังอาจถูกยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์อีก ด้วย
ถนนในนอร์เวย์มีสภาพดี มีแผนที่บอกเส้นทางอยู่ทั่วไป ถนนส่วนใหญ่มีช่องทางวิ่งเล็ก และวิ่งสวนทาง (two-way traffic) แต่ก็มีความปลอดภัยสูงเพราะมีการจำกัดความเร็วรถยนต์ที่ 80-90 ก.ม./ ชั่วโมง สำหรับเขตชุมชนในเมือง ถนนหลายสายมีกล้องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ คนนอร์เวย์เคร่งครัดในการปฏิบัติตามกฎจราจร อุบัติเหตุบนท้องถนนจึงเกิดขึ้นน้อย ผู้ฝ่าฝืนไม่เคารพกฎจราจรจะถูกปรับในอัตราที่สูงมาก คือประมาณ 500-2,500 โครนนอร์เวย์ รถยนต์ในนอร์เวย์วิ่งด้านขวา ที่จอดรถส่วนมากต้องเสียค่าที่จอดเป็นรายชั่วโมง ราคาชม.ละ 12-20 โครนนอร์เวย์ ตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์ ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ระดับ 9-12 โครนต่อลิตร ผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด หากกระทำผิดนอกจากถูกปรับแล้วยังอาจถูกยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์อีก ด้วย
คนไทยในนอร์เวย
์ จากสถิติของทางการนอร์เวย์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 มีคนไทยอาศัยอยู่ในนอร์เวย์ 6,803 คน มีสัญชาตินอร์เวย์แล้ว 1,803 คน โดยมากกว่าร้อยละ 90 เป็นสตรีที่แต่งงานมาอาศัยกับสามีนอร์เวย์ เมืองที่มีคนไทยอาศัยอยู่มาก ได้แก่ กรุงออสโล เมือง Bergen และบริเวณรอบ และเมือง Stevanger และบริเวณรอบเมืองต่างๆ อื่นอีก เช่น เมือง Trondheim Tromso และเมือง Odda ในนอร์เวย์มีวัดไทย 1 วัด ชื่อวัดไทยนอร์เวย์ ตั้งอยู่ในเขต Frogner Kommune ห่างจากกรุงออสโลไปประมาณ 27 กิโลเมตรโดยมีพระประจำวัดอยู่ 2 รูป
์ จากสถิติของทางการนอร์เวย์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2548 มีคนไทยอาศัยอยู่ในนอร์เวย์ 6,803 คน มีสัญชาตินอร์เวย์แล้ว 1,803 คน โดยมากกว่าร้อยละ 90 เป็นสตรีที่แต่งงานมาอาศัยกับสามีนอร์เวย์ เมืองที่มีคนไทยอาศัยอยู่มาก ได้แก่ กรุงออสโล เมือง Bergen และบริเวณรอบ และเมือง Stevanger และบริเวณรอบเมืองต่างๆ อื่นอีก เช่น เมือง Trondheim Tromso และเมือง Odda ในนอร์เวย์มีวัดไทย 1 วัด ชื่อวัดไทยนอร์เวย์ ตั้งอยู่ในเขต Frogner Kommune ห่างจากกรุงออสโลไปประมาณ 27 กิโลเมตรโดยมีพระประจำวัดอยู่ 2 รูป
ข้อมูลอื่นๆ
ทั่วไป
นอร์เวย์ใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ ใช้ปลั๊กตัวผู้ขากลม 2 ขา
ในออสโลมีร้านอาหารไทย 4 ร้าน
ค่าโดยสารประจำทางเริ่มที่ 20 โครน
ทางการนอร์เวย์เข้มงวดในเรื่องการนำอาหารเข้านอร์เวย์มาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์
นอร์เวย์ใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์ ใช้ปลั๊กตัวผู้ขากลม 2 ขา
ในออสโลมีร้านอาหารไทย 4 ร้าน
ค่าโดยสารประจำทางเริ่มที่ 20 โครน
ทางการนอร์เวย์เข้มงวดในเรื่องการนำอาหารเข้านอร์เวย์มาก โดยเฉพาะเนื้อสัตว์
กฎหมายเข้าเมือง
-ผู้ที่มีหนังสือเดินทางทูตและราชการของไทยสามารถเดินทางไปนอร์เวย์ได้โดย ไม่ต้องขอวีซ่าและสามารถพำนักอยู่ได้เป็นระยะเวลา 90 วัน
- ส่วนผู้ที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยต้องขอวีซ่าจาก
การขอวีซ่า
จะต้องมีหนังสือเชิญจากบุคคลหรือองค์กรในประเทศนอร์เวย์ และจะต้องมีเอกสารแสดงฐานะทางการเงินที่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายตลอดระยะ เวลาที่ผู้ขอวีซ่าพำนักอยู่ในนอร์เวย์
(วันละ 500 โครนนอร์เวย์ หรือ น้อยกว่าหากพำนักอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน) หรือมีหลักประกันทางการเงินจากบุคคลที่อ้างอิง ผู้ขอวีซ่าจะต้องมีตั๋วเครื่องบินเดินทางไป-กลับ และมีประกันสุขภาพ
หากหน่วยงานของนอร์เวย์มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าผู้ขอวีซ่าหรือผู้ที่เดินทาง ไปนอร์เวย์จะอยู่ในนอร์เวย์หรือประเทศในกลุ่มSchengen เกินกว่าระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักอยู่ บุคคลผู้นั้นก็จะไม่ได้รับอนุมัติวีซ่าหรือไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง
-ผู้ที่มีหนังสือเดินทางทูตและราชการของไทยสามารถเดินทางไปนอร์เวย์ได้โดย ไม่ต้องขอวีซ่าและสามารถพำนักอยู่ได้เป็นระยะเวลา 90 วัน
- ส่วนผู้ที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยต้องขอวีซ่าจาก
การขอวีซ่า
จะต้องมีหนังสือเชิญจากบุคคลหรือองค์กรในประเทศนอร์เวย์ และจะต้องมีเอกสารแสดงฐานะทางการเงินที่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายตลอดระยะ เวลาที่ผู้ขอวีซ่าพำนักอยู่ในนอร์เวย์
(วันละ 500 โครนนอร์เวย์ หรือ น้อยกว่าหากพำนักอยู่กับครอบครัวหรือเพื่อน) หรือมีหลักประกันทางการเงินจากบุคคลที่อ้างอิง ผู้ขอวีซ่าจะต้องมีตั๋วเครื่องบินเดินทางไป-กลับ และมีประกันสุขภาพ
หากหน่วยงานของนอร์เวย์มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าผู้ขอวีซ่าหรือผู้ที่เดินทาง ไปนอร์เวย์จะอยู่ในนอร์เวย์หรือประเทศในกลุ่มSchengen เกินกว่าระยะเวลาที่อนุญาตให้พำนักอยู่ บุคคลผู้นั้นก็จะไม่ได้รับอนุมัติวีซ่าหรือไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเมือง
สิ่งของที่อนุญาตให้นำติดตัวไปได้
และสิ่งของต้องห้าม
1. สิ่งของที่อนุญาตให้นำติดตัวไปได้ ได้แก่
- สุรา (มีแอลกอฮอล์ 22-60 % ) จำนวน 1 ลิตร
- เหล้าไวน์ (2.5 – 22 %) 1.5 ลิตร
- เบียร์ (2.5 – 4.7 %) 2 ลิตร
- บุหรี่ 200 มวน
- เงินสด มีมูลค่าไม่เกิน 25,000 โครนนอร์เวย์
2. สิ่งของต้องห้าม ได้แก่
- สิ่ง เสพติด ยาและสิ่งเป็นพิษ (ยารักษาโรคสำหรับส่วนบุคคลต้องขออนุญาตก่อน)
- แอลกอฮอล์ ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 60 %
- อาวุธยุทโธปกรณ์
- พลุ
- มันฝรั่ง
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
- นกและสัตว์ป่า
- พืช
1. สิ่งของที่อนุญาตให้นำติดตัวไปได้ ได้แก่
- สุรา (มีแอลกอฮอล์ 22-60 % ) จำนวน 1 ลิตร
- เหล้าไวน์ (2.5 – 22 %) 1.5 ลิตร
- เบียร์ (2.5 – 4.7 %) 2 ลิตร
- บุหรี่ 200 มวน
- เงินสด มีมูลค่าไม่เกิน 25,000 โครนนอร์เวย์
2. สิ่งของต้องห้าม ได้แก่
- สิ่ง เสพติด ยาและสิ่งเป็นพิษ (ยารักษาโรคสำหรับส่วนบุคคลต้องขออนุญาตก่อน)
- แอลกอฮอล์ ที่มีความเข้มข้นมากกว่า 60 %
- อาวุธยุทโธปกรณ์
- พลุ
- มันฝรั่ง
- สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
- นกและสัตว์ป่า
- พืช
การแต่งกาย
- เนื่องจากอากาศในนอร์เวย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในช่วงฤดูร้อนอาจใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง แต่ก็ควรมีเสื้อกันลม เสื้อกันฝน หรือร่ม ไว้ด้วย การเดินทางในนอร์เวย์จะต้องเดินเท้าค่อนข้างมากจึงควรมีรองเท้าที่ใส่สบาย ไว้สำหรับเดิน
- ในฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นมาก ต้องมีเสื้อโค้ท ผ้าพันคอ ถุงมือ หมวก และรองเท้าที่บุกันความเย็น
- ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ มักมีฝนตก ควรมีเสื้อกันฝนและรองเท้าบู้ธ
- นอร์เวย์ฉลองวันชาติในวันที่ 17 พฤษภาคม ประชาชนทั่วไปจะสวมใส่ชุดประจำชาติที่เรียกว่า “Bunad” คนต่างชาติก็ควรแต่งกายให้สุภาพด้วย
- เนื่องจากอากาศในนอร์เวย์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ในช่วงฤดูร้อนอาจใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง แต่ก็ควรมีเสื้อกันลม เสื้อกันฝน หรือร่ม ไว้ด้วย การเดินทางในนอร์เวย์จะต้องเดินเท้าค่อนข้างมากจึงควรมีรองเท้าที่ใส่สบาย ไว้สำหรับเดิน
- ในฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นมาก ต้องมีเสื้อโค้ท ผ้าพันคอ ถุงมือ หมวก และรองเท้าที่บุกันความเย็น
- ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ มักมีฝนตก ควรมีเสื้อกันฝนและรองเท้าบู้ธ
- นอร์เวย์ฉลองวันชาติในวันที่ 17 พฤษภาคม ประชาชนทั่วไปจะสวมใส่ชุดประจำชาติที่เรียกว่า “Bunad” คนต่างชาติก็ควรแต่งกายให้สุภาพด้วย
ศาสนา
- ประชากรส่วนใหญ่ของนอร์เวย์ประมาณ 85 % นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Evangelical Lutheran แต่ก็ไม่เคร่งศาสนา มีเพียง 3 % ที่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ นอกจากนี้ มีคนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายอื่นๆ ได้แก่ นิกาย Baptists นิกาย Pentecostalists นิกาย Methodists และนิกาย Roman Catholics
- ส่วนศาสนาอื่นที่มีผู้นับถือมากรองลงไป คือ ศาสนาอิสลาม
- สำหรับชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ สามารถไปทำบุญไหว้พระหรือร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนาได้ที่ “วัดไทย-นอร์เวย์” ตั้งอยู่ที่ Trondheimsvegen 582 , 2016 Frogner โทร. (47) 6382 0130 หรือ
8532 8522 โทรสาร (47) 6382 0131 หรือ 6382 5591 เว็บไซท์ www.watthainorway.com
อีเมล์ pkamonram@hotmail.com หรือ kamonram@online.no
- ประชากรส่วนใหญ่ของนอร์เวย์ประมาณ 85 % นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Evangelical Lutheran แต่ก็ไม่เคร่งศาสนา มีเพียง 3 % ที่ไปโบสถ์วันอาทิตย์ นอกจากนี้ มีคนที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายอื่นๆ ได้แก่ นิกาย Baptists นิกาย Pentecostalists นิกาย Methodists และนิกาย Roman Catholics
- ส่วนศาสนาอื่นที่มีผู้นับถือมากรองลงไป คือ ศาสนาอิสลาม
- สำหรับชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธ สามารถไปทำบุญไหว้พระหรือร่วมกิจกรรมทางพุทธศาสนาได้ที่ “วัดไทย-นอร์เวย์” ตั้งอยู่ที่ Trondheimsvegen 582 , 2016 Frogner โทร. (47) 6382 0130 หรือ
8532 8522 โทรสาร (47) 6382 0131 หรือ 6382 5591 เว็บไซท์ www.watthainorway.com
อีเมล์ pkamonram@hotmail.com หรือ kamonram@online.no
อาหารการกิน
- คนนอร์เวย์ส่วนใหญ่รับประทานอาหารเช้าช่วง 07.00 –08.00 น. อาหารกลางวันช่วง 11-00-12.00น. อาหารว่างช่วง 16.00 – 17.00 น. อาหารค่ำ ช่วง 20.00-21.00 น.
- อาหารที่จำหน่ายในนอร์เวย์จะต้องเคร่งครัดต่อกฎระเบียบเรื่องสุขลักษณะเป็น อย่างมาก จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค คนนอร์เวย์บริโภคนม ขนมปังสีน้ำตาล และปลา เป็นจำนวนมาก
- ราคาอาหารที่จำหน่ายในนอร์เวย์ค่อนข้างแพง
- น้ำจากก็อกน้ำมีความสะอาดเพียงพอที่จะดื่มได้
- คนนอร์เวย์ส่วนใหญ่รับประทานอาหารเช้าช่วง 07.00 –08.00 น. อาหารกลางวันช่วง 11-00-12.00น. อาหารว่างช่วง 16.00 – 17.00 น. อาหารค่ำ ช่วง 20.00-21.00 น.
- อาหารที่จำหน่ายในนอร์เวย์จะต้องเคร่งครัดต่อกฎระเบียบเรื่องสุขลักษณะเป็น อย่างมาก จึงปลอดภัยต่อผู้บริโภค คนนอร์เวย์บริโภคนม ขนมปังสีน้ำตาล และปลา เป็นจำนวนมาก
- ราคาอาหารที่จำหน่ายในนอร์เวย์ค่อนข้างแพง
- น้ำจากก็อกน้ำมีความสะอาดเพียงพอที่จะดื่มได้
บุหรี่และสุรา
- ห้ามสูบบุหรี่ในอาคารสาธารณะ สำนักงาน โรงแรม บาร์ ภัตตาคาร (ยกเว้นภัตตาคารกลางแจ้ง) และรถขนส่งมวลชน การสูบต้องออกไปสูบนอกอาคาร
- การดื่มสุรามีข้อกำหนดที่เข้มงวด ผู้ซื้อและผู้ดื่มเบียร์และไวน์ ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ซื้อและผู้ดื่มสุราต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ไวน์ สุรา และเบียร์ที่เข้มข้นมีจำหน่ายเฉพาะในร้าน Vinmonopolet ซึ่งเป็นร้านของรัฐบาล ส่วนเบียร์สามารถซื้อได้ในร้านซุปเปอร์มาเก็ต ภัตตาคารที่จำหน่ายสุราต้องมี
ใบอนุญาต ห้ามดื่มสุราในสวนสาธารณะและข้างถนน และเมื่อขับรถห้ามดื่มสุราโดยเด็ดขาด
- ห้ามสูบบุหรี่ในอาคารสาธารณะ สำนักงาน โรงแรม บาร์ ภัตตาคาร (ยกเว้นภัตตาคารกลางแจ้ง) และรถขนส่งมวลชน การสูบต้องออกไปสูบนอกอาคาร
- การดื่มสุรามีข้อกำหนดที่เข้มงวด ผู้ซื้อและผู้ดื่มเบียร์และไวน์ ต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ซื้อและผู้ดื่มสุราต้องมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ไวน์ สุรา และเบียร์ที่เข้มข้นมีจำหน่ายเฉพาะในร้าน Vinmonopolet ซึ่งเป็นร้านของรัฐบาล ส่วนเบียร์สามารถซื้อได้ในร้านซุปเปอร์มาเก็ต ภัตตาคารที่จำหน่ายสุราต้องมี
ใบอนุญาต ห้ามดื่มสุราในสวนสาธารณะและข้างถนน และเมื่อขับรถห้ามดื่มสุราโดยเด็ดขาด
การต่อรองราคาสินค้า
- การซื้อสินค้าตามห้างร้านในประเทศนอร์เวย์ไม่มีการต่อรองราคา ต้องซื้อสินค้าตามป้ายแสดงราคา ร้านค้าในนอร์เวย์ไม่มีส่วนลดให้กับลูกค้าประจำหรือลูกค้ารายใหญ่ (มีเพียงในตลาดขายของข้างถนนบางแห่งกับร้านขายของมือสองที่อาจลดราคาให้หาก ซื้อด้วยเงินสดจำนวนมาก)
- ในนอร์เวย์จะมีช่วงลดราคาสินค้า ปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ กับช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม
- การซื้อสินค้าตามห้างร้านในประเทศนอร์เวย์ไม่มีการต่อรองราคา ต้องซื้อสินค้าตามป้ายแสดงราคา ร้านค้าในนอร์เวย์ไม่มีส่วนลดให้กับลูกค้าประจำหรือลูกค้ารายใหญ่ (มีเพียงในตลาดขายของข้างถนนบางแห่งกับร้านขายของมือสองที่อาจลดราคาให้หาก ซื้อด้วยเงินสดจำนวนมาก)
- ในนอร์เวย์จะมีช่วงลดราคาสินค้า ปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ กับช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม
การสนทนาและปฏิบัติตัวเมื่อพบกับคนท้องถิ่น
- การทักทายกับคนนอร์เวย์ใช้การจับมือ โดยมีการสบตาโดยตรงและยิ้ม คนนอร์เวย์จะแนะนำตัวเองด้วยการเรียกนามสกุล
- คนนอร์เวย์ถือว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกันและนิยมความสุภาพ เรียบร้อย ไม่ชอบคนที่โอ้อวดฐานะและความร่ำรวย
- การพูดคุยกับคนนอร์เวย์ คนนอร์เวย์เป็นคนที่ตรงไปตรงมาและยึดถือข้อเท็จจริงเป็นหลักไม่ใส่อารมณ์ใน การพูดจาและไม่ใช้ภาษากาย
- การสร้างมิตรภาพกับคนนอร์เวย์ต้องใช้เวลา คนนอร์เวย์จะมีเพื่อนกลุ่มเล็กแต่ค่อนข้างเหนืยวแน่นและภูมิใจในมิตรภาพที่ เต็มไปด้วยความซื่อตรงและจริงใจ
- การทักทายกับคนนอร์เวย์ใช้การจับมือ โดยมีการสบตาโดยตรงและยิ้ม คนนอร์เวย์จะแนะนำตัวเองด้วยการเรียกนามสกุล
- คนนอร์เวย์ถือว่าทุกคนมีความเท่าเทียมกันและนิยมความสุภาพ เรียบร้อย ไม่ชอบคนที่โอ้อวดฐานะและความร่ำรวย
- การพูดคุยกับคนนอร์เวย์ คนนอร์เวย์เป็นคนที่ตรงไปตรงมาและยึดถือข้อเท็จจริงเป็นหลักไม่ใส่อารมณ์ใน การพูดจาและไม่ใช้ภาษากาย
- การสร้างมิตรภาพกับคนนอร์เวย์ต้องใช้เวลา คนนอร์เวย์จะมีเพื่อนกลุ่มเล็กแต่ค่อนข้างเหนืยวแน่นและภูมิใจในมิตรภาพที่ เต็มไปด้วยความซื่อตรงและจริงใจ
มารยาทในการรับเชิญไปร่วมรับประทานอาหาร
- หากคนนอร์เวย์เชิญท่านไปรับประทานอาหารที่บ้าน ควรนำดอกไม้ ช็อคโกแลต ขนมไวน์หรือสุราต่างประเทศไปเป็นของกำนัลด้วยผู้ที่รับของขวัญจะเปิดของขวัญ เมื่อได้รับทันที
- คนนอร์เวย์เป็นคนที่ตรงต่อเวลาทั้งในการทำงานและในงานสังคม จึงควรไปให้ตรงเวลาตามนัดหมาย
- ผู้รับเชิญสามารถแสดงน้ำใจที่จะช่วยตระเตรียมข้าวของหรือช่วยเก็บข้าวของเมื่อ
รับประทานอาหารเสร็จ เพราะคนนอร์เวย์ไม่มีคนรับใช้ ต้องทำงานบ้านด้วยตนเอง
- การรับประทานอาหารเป็นแบบตะวันตกใช้ส้อมและมีดเป็นหลัก ใช้ช้อนสำหรับ
อาหารที่เป็นน้ำใช้มือค่อนข้างน้อย
- ระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรคุยเรื่องธุรกิจ คนนอร์เวย์แยกธุรกิจกับชีวิตส่วนตัว
- เมื่อรับเชิญจากฝ่ายนอร์เวย์แล้ว ควรเป็นเจ้าภาพเชิญฝ่ายนอร์เวย์ด้วยเป็นการตอบแทน
มารยาททางธุรกิจ
- การเจรจาธุรกิจในนอร์เวย์เป็นลักษณะที่ไม่เป็นทางการและมีการติดต่อสื่อสาร กันโดยตรง แต่มีความจำเป็นต้องนัดหมายกันล่วงหน้าเป็นเวลานาน ไม่ควรกำหนดการพบปะเจรจาในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงของการหยุดพักร้อน ตลอดจนช่วง 2 สัปดาห์ก่อนและหลังวันคริสต์มาส และช่วง 1 สัปดาห์ก่อนและหลังวันอีสเตอร์
- ควรส่งหัวข้อการเจรจาไปให้ฝ่ายนอร์เวย์ล่วงหน้าเพื่อการเตรียมตัว
- วันนัดหมายควรไปตรงเวลา การเจรจาควรพูดตรงประเด็น ไม่พูดเยิ่นเย้อ คนนอร์เวย์ชอบเจรจาธุรกิจอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาน้อย และจะไม่ขัดจังหวะเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูด จะถามคำถามต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูด จบแล้ว
- หากคนนอร์เวย์เชิญท่านไปรับประทานอาหารที่บ้าน ควรนำดอกไม้ ช็อคโกแลต ขนมไวน์หรือสุราต่างประเทศไปเป็นของกำนัลด้วยผู้ที่รับของขวัญจะเปิดของขวัญ เมื่อได้รับทันที
- คนนอร์เวย์เป็นคนที่ตรงต่อเวลาทั้งในการทำงานและในงานสังคม จึงควรไปให้ตรงเวลาตามนัดหมาย
- ผู้รับเชิญสามารถแสดงน้ำใจที่จะช่วยตระเตรียมข้าวของหรือช่วยเก็บข้าวของเมื่อ
รับประทานอาหารเสร็จ เพราะคนนอร์เวย์ไม่มีคนรับใช้ ต้องทำงานบ้านด้วยตนเอง
- การรับประทานอาหารเป็นแบบตะวันตกใช้ส้อมและมีดเป็นหลัก ใช้ช้อนสำหรับ
อาหารที่เป็นน้ำใช้มือค่อนข้างน้อย
- ระหว่างรับประทานอาหารไม่ควรคุยเรื่องธุรกิจ คนนอร์เวย์แยกธุรกิจกับชีวิตส่วนตัว
- เมื่อรับเชิญจากฝ่ายนอร์เวย์แล้ว ควรเป็นเจ้าภาพเชิญฝ่ายนอร์เวย์ด้วยเป็นการตอบแทน
มารยาททางธุรกิจ
- การเจรจาธุรกิจในนอร์เวย์เป็นลักษณะที่ไม่เป็นทางการและมีการติดต่อสื่อสาร กันโดยตรง แต่มีความจำเป็นต้องนัดหมายกันล่วงหน้าเป็นเวลานาน ไม่ควรกำหนดการพบปะเจรจาในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงของการหยุดพักร้อน ตลอดจนช่วง 2 สัปดาห์ก่อนและหลังวันคริสต์มาส และช่วง 1 สัปดาห์ก่อนและหลังวันอีสเตอร์
- ควรส่งหัวข้อการเจรจาไปให้ฝ่ายนอร์เวย์ล่วงหน้าเพื่อการเตรียมตัว
- วันนัดหมายควรไปตรงเวลา การเจรจาควรพูดตรงประเด็น ไม่พูดเยิ่นเย้อ คนนอร์เวย์ชอบเจรจาธุรกิจอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาน้อย และจะไม่ขัดจังหวะเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูด จะถามคำถามต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งพูด จบแล้ว
ที่มาhttp://www.bkkfly.com/N_norway.html
ประเทศในทวีปยุโรป
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์(Switzerland)
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อทางการคือสมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation)
เมืองหลวงเบิร์นชื่อทางการคือสมาพันธรัฐสวิส (Swiss Confederation)
ที่ตั้งสมาพันธรัฐสวิสหรือสวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่กลางทวีปยุโรปล้อมรอบด้วยเทือกเขาแอลป์ เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเลทิศเหนือจรดสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทิศตะวันออกจรดออสเตรียและลิคเตนสไตน์ทิศใต้จรดอิตาลี ทิศตะวันตกจรดฝรั่งเศส
พื้นที่
41,290 ตารางกิโลเมตร เล็กกว่าประเทศไทย 12 เท่า โดยพื้นที่ 2 ใน3 ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่บนเทือกเขาแอลป์ ซึ่งทอดยาวจากทิศตะวันตก
ประชากร 7,400,000 คน (ปีพ.ศ.2548)
ธงประจำชาติประเทศสวิตเซอร์แลนด์
แผนที่
ดอกไม้ประจำชาติ
อาหารประจำชาติ
ภูมิประเทศ-ภูมิอากาศ
สวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรปมีพื้นที่ 41,284 ตารางกิโลเมตรเหนือจรดใต้ยาวเพียง 220.1 กิโลเมตร และตะวันออกจรดตะวันตกกว่างเพียง 348.4 กิโลเมตร
อาณาเขตติดชายแดน 5 ประเทศ ได้แก่อิตาลี ฝรั่งเศสเยอรมัน ออสเตรียและ ลิคเคนไสตน์สวิสเป็นกลางและอิสระดังนั้นการรวมตัวของพลเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 700 ปีที่แล้วนั้นทำให้สวิสต้องใช้ภาษาทางราชการ 4 ภาษา ได้แก่ เยอรมันฝรั่งเศส อิตาเลียน และ อังกฤษ และมีภาษาท้องถิ่นอีก 1 ภาษา
พื้นที่ของประเทศตั้งอยู่บนภูเขาและที่ราบสูง มีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 1/4ของประเทศและเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตเศรษฐกิจของพลเมืองในประเทศมีทิวทัศน์ที่สวยงามมากการเดินทางในประเทศส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถไฟและรถสาธารณะ มากกว่าการมีรถส่วนตัวนอกจากการคมนาคมสะดวกมากและตรงเวลาแล้วที่จอดรถมีน้อยและค่าเช่าที่จอดรถแพง
อากาศในสวิสมีความแตกต่างกันในหน้าร้อนและหน้าหนาวระหว่างบนพื้นที่ราบ และบนภูเขาสูงบนพื้นที่ราบอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 40-80 F และบนภูเขาอยู่ระหว่าง 25-60 F กิจกรรมยามว่างของชาวสวิสส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมบนเขา เช่น หน้าร้อน เดินเขาขี่จักรยานหน้าหนาวเล่นสกี เป็นต้น
ระบบการปกครอง
ปกครองแบบประชาธิปไตย ในรูปของสมาพันธรัฐ (confederation) ประกอบด้วยมณฑล (Canton) 23 แห่ง ในจำนวนนี้ 3 มณฑลถูกแบ่งออกเป็นกึ่งมณฑล (haft-canton) 6 แห่ง จึงเสมือนประกอบด้วยมณฑลทั้งสิ้น 26 แห่งซึ่งมีอำนาจบริหารภายในของแต่ละมณฑลส่วนอำนาจบริหารส่วนกลางจะอยู่ที่คณะมนตรีแห่งสมาพันธ์ (Federal Council) ซึ่งเปรียบเท่ากับคณะรัฐมนตรีประกอบด้วยสมาชิกที่เรียกว่ามนตรีแห่งสมาพันธ์(Federal Councillor) 7 คน มีวาระในตำแหน่งคราวละ 4 ปีและใน 7 คน จะผลัดกันเป็นประธานาธิบดีคนละ 1 ปี
ระบบเศรษฐกิจ
การที่ชาวสวิสไม่มีทรัพยากรมากทำให้ชาวสวิสยึดการเป็นนักประดิษฐ์และสิ่งใดที่ทำเองไม่ได้จะเลือกที่จะตามคนอื่นนำเข้าวัตถุดิบผลิตเป็นสินค้าออกที่สำคัญเป็นผลิตผลที่ได้จากการประดิษฐ์คิดค้น ความเที่ยงตรงและคุณภาพที่สม่ำเสมอจับใจคนอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่อิเลคโทรนิค เคมี ยา นาฬิกา รวมถึงกิจการที่เป็นลักษณะของการบริการการวางแผน การบริการและเทคโนโลยีรวมถึงงานกิจการด้านการโรงแรมและโรงนาที่พัก การท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นประเทศศูนย์กลางของยุโรปที่นักเดินทางต้องตัดผ่านจากเหนือไปใต้และตะวันออกไปตะวันตก
การศึกษาต่อในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ระบบการศึกษา
การศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่างจากระบบการศึกษาในประเทศไทยเล็กน้อย คือระบบของสวิสนั้นการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้น ถึงจบมัธยมปลาย ใช้เวลา 13 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี 3 –5 ปี ขึ้นอยู่กับวิชาที่เรียนและสำหรับสาขาแพทยศาสตร์ จะใช้เวลา 6-7 ปี
สวิตเซอร์แลนด์ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรปมีพื้นที่ 41,284 ตารางกิโลเมตรเหนือจรดใต้ยาวเพียง 220.1 กิโลเมตร และตะวันออกจรดตะวันตกกว่างเพียง 348.4 กิโลเมตร
อาณาเขตติดชายแดน 5 ประเทศ ได้แก่อิตาลี ฝรั่งเศสเยอรมัน ออสเตรียและ ลิคเคนไสตน์สวิสเป็นกลางและอิสระดังนั้นการรวมตัวของพลเมืองที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 700 ปีที่แล้วนั้นทำให้สวิสต้องใช้ภาษาทางราชการ 4 ภาษา ได้แก่ เยอรมันฝรั่งเศส อิตาเลียน และ อังกฤษ และมีภาษาท้องถิ่นอีก 1 ภาษา
พื้นที่ของประเทศตั้งอยู่บนภูเขาและที่ราบสูง มีพื้นที่เพาะปลูกเพียง 1/4ของประเทศและเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตเศรษฐกิจของพลเมืองในประเทศมีทิวทัศน์ที่สวยงามมากการเดินทางในประเทศส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถไฟและรถสาธารณะ มากกว่าการมีรถส่วนตัวนอกจากการคมนาคมสะดวกมากและตรงเวลาแล้วที่จอดรถมีน้อยและค่าเช่าที่จอดรถแพง
อากาศในสวิสมีความแตกต่างกันในหน้าร้อนและหน้าหนาวระหว่างบนพื้นที่ราบ และบนภูเขาสูงบนพื้นที่ราบอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 40-80 F และบนภูเขาอยู่ระหว่าง 25-60 F กิจกรรมยามว่างของชาวสวิสส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมบนเขา เช่น หน้าร้อน เดินเขาขี่จักรยานหน้าหนาวเล่นสกี เป็นต้น
ระบบการปกครอง
ปกครองแบบประชาธิปไตย ในรูปของสมาพันธรัฐ (confederation) ประกอบด้วยมณฑล (Canton) 23 แห่ง ในจำนวนนี้ 3 มณฑลถูกแบ่งออกเป็นกึ่งมณฑล (haft-canton) 6 แห่ง จึงเสมือนประกอบด้วยมณฑลทั้งสิ้น 26 แห่งซึ่งมีอำนาจบริหารภายในของแต่ละมณฑลส่วนอำนาจบริหารส่วนกลางจะอยู่ที่คณะมนตรีแห่งสมาพันธ์ (Federal Council) ซึ่งเปรียบเท่ากับคณะรัฐมนตรีประกอบด้วยสมาชิกที่เรียกว่ามนตรีแห่งสมาพันธ์(Federal Councillor) 7 คน มีวาระในตำแหน่งคราวละ 4 ปีและใน 7 คน จะผลัดกันเป็นประธานาธิบดีคนละ 1 ปี
ระบบเศรษฐกิจ
การที่ชาวสวิสไม่มีทรัพยากรมากทำให้ชาวสวิสยึดการเป็นนักประดิษฐ์และสิ่งใดที่ทำเองไม่ได้จะเลือกที่จะตามคนอื่นนำเข้าวัตถุดิบผลิตเป็นสินค้าออกที่สำคัญเป็นผลิตผลที่ได้จากการประดิษฐ์คิดค้น ความเที่ยงตรงและคุณภาพที่สม่ำเสมอจับใจคนอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่อิเลคโทรนิค เคมี ยา นาฬิกา รวมถึงกิจการที่เป็นลักษณะของการบริการการวางแผน การบริการและเทคโนโลยีรวมถึงงานกิจการด้านการโรงแรมและโรงนาที่พัก การท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นประเทศศูนย์กลางของยุโรปที่นักเดินทางต้องตัดผ่านจากเหนือไปใต้และตะวันออกไปตะวันตก
การศึกษาต่อในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ระบบการศึกษา
การศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต่างจากระบบการศึกษาในประเทศไทยเล็กน้อย คือระบบของสวิสนั้นการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมต้น ถึงจบมัธยมปลาย ใช้เวลา 13 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี 3 –5 ปี ขึ้นอยู่กับวิชาที่เรียนและสำหรับสาขาแพทยศาสตร์ จะใช้เวลา 6-7 ปี
วุฒิบัตรทางการศึกษาของสวิสเรียกด้วยศัพท์ที่ใช้ในประเทศของเขาเอามาแปลเป็นไทยได้ดังนี้
ระดับมัธยมปลาย (School leaving Certificate) เรียกคนที่จะผ่านเข้าศึกษาระดับ ม.ปลายต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้วตั้งแต่ม.ต้นว่าเก่งมาก มีจำนวนเพียง 25% ของคนที่จบ ม.ต้นมา ที่เหลือ10% เข้าโรงเรียนเทคนิคและ 60% เรียน ปวช. ปวส เพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
ปริญญาตรี (Bachelor Degree)
ปริญญาโท (Diploma หรือ Post Graduate)
และปริญญาเอก (Doctoral Degree)
ชาวสวิสไม่มีคำว่า Master Degree ที่แปลว่า ปริญญาโทซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษ แบบที่เราคุ้นเคย และในบางประเทศความหมายของคำว่า Diploma เป็นการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่งมีหลายคนงงกับคำว่า Diploma คำว่า Diploma ในสวิตเซอร์แลนด์เองก็มีการใช้หลายแบบเช่นใช้กับบุคคลที่ผ่านการสอบและฝึกหัดเทคนิคเฉพาะทางในหลักสูตรพิเศษ เช่นวิศวกร เภสัชกร หรือใช้กับการศึกษาในสายอาชีพที่มีภาคปฏิบัติเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ขณะนี้สวิตเซอร์แลนด์ก็เช่นเดียวกับยุโรปอื่นกำลังปรับระบบการศึกษาในประเทศของตนให้เป็นสากลมากขึ้น
แล้วควรจะเรียนต่ออย่างไรดี?
โดยทั่วไปควรเรียนปริญญาตรี หรือ ปริญญาเอก เลยเนื่องจากไม่มีการเทียบวุฒิการศึกษาอย่างเป็นทางการการเรียนต่อระดับปริญญาโทค่อนข้างยุ่งยากกว่าแต่มีหลักสูตรปริญญาโทบางหลักสูตร ที่เปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างชาติมักสอนเป็นภาษาอังกฤษ เช่นหลักสูตรวิชาการบริหาร การจัดการและการท่องเที่ยว การโรงแรม ที่มีชื่อเสียงนั่นเอง
ระดับมัธยมปลาย (School leaving Certificate) เรียกคนที่จะผ่านเข้าศึกษาระดับ ม.ปลายต้องผ่านการคัดเลือกมาแล้วตั้งแต่ม.ต้นว่าเก่งมาก มีจำนวนเพียง 25% ของคนที่จบ ม.ต้นมา ที่เหลือ10% เข้าโรงเรียนเทคนิคและ 60% เรียน ปวช. ปวส เพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
ปริญญาตรี (Bachelor Degree)
ปริญญาโท (Diploma หรือ Post Graduate)
และปริญญาเอก (Doctoral Degree)
ชาวสวิสไม่มีคำว่า Master Degree ที่แปลว่า ปริญญาโทซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษ แบบที่เราคุ้นเคย และในบางประเทศความหมายของคำว่า Diploma เป็นการศึกษาอีกรูปแบบหนึ่งมีหลายคนงงกับคำว่า Diploma คำว่า Diploma ในสวิตเซอร์แลนด์เองก็มีการใช้หลายแบบเช่นใช้กับบุคคลที่ผ่านการสอบและฝึกหัดเทคนิคเฉพาะทางในหลักสูตรพิเศษ เช่นวิศวกร เภสัชกร หรือใช้กับการศึกษาในสายอาชีพที่มีภาคปฏิบัติเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ขณะนี้สวิตเซอร์แลนด์ก็เช่นเดียวกับยุโรปอื่นกำลังปรับระบบการศึกษาในประเทศของตนให้เป็นสากลมากขึ้น
แล้วควรจะเรียนต่ออย่างไรดี?
โดยทั่วไปควรเรียนปริญญาตรี หรือ ปริญญาเอก เลยเนื่องจากไม่มีการเทียบวุฒิการศึกษาอย่างเป็นทางการการเรียนต่อระดับปริญญาโทค่อนข้างยุ่งยากกว่าแต่มีหลักสูตรปริญญาโทบางหลักสูตร ที่เปิดร่วมกับมหาวิทยาลัยต่างชาติมักสอนเป็นภาษาอังกฤษ เช่นหลักสูตรวิชาการบริหาร การจัดการและการท่องเที่ยว การโรงแรม ที่มีชื่อเสียงนั่นเอง
ค่าใช้จ่าย
เราต้องเข้าใจว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่มาตรฐานการครองชีพของพลเมืองดีมากดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนเงินเมื่อเทียบกับของไทยจึงดูเหมือนกับว่าค่อนข้างสูง
การหางานพิเศษทำมีโอกาสน้อยกว่าที่อื่นยกเว้นการทำงานในลักษณะการฝึกงานที่ใช้กับสาขาวิชาการโรงแรมที่บังคับให้มีการฝึกงานและได้รับเงินเดือน
อย่างไรก็ดีการเรียนในสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ได้แพงกว่าที่อื่นๆ เมื่อเทียบกันแล้วโรงเรียนที่มีมาตรฐานเดียวกันก็มีค่าเล่าเรียนที่ใกล้กันทั่วโลกต่างกันก็ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่านั้น
การเรียนในสถาบันของรัฐไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน เสียเพียงค่าสมัคร ค่ารักษาสถานภาพของนักเรียนแต่ละมหาวิทยาลัยก็แตกต่างกัน (ระหว่าง 800-1500 ฟรังค์สวิสต่อปี)ค่าสอบค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวดังนั้นกฏเกณฑ์การรับเข้าจึงยากกว่าการเข้าเรียนในวิทยาลัยเอกชนซึ่งต้องเสียค่าเล่าเรียนเป็นเทอมเช่นเดียวกับในอังกฤษอเมริกาหรือออสเตรเลียและค่าประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่นักเรียนทุกคนต้องทำอัตราค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับบริษัท อายุของผู้ทำประกันและระยะเวลา (ระหว่าง 90 - 220 .-ฟรังค์ต่อเดือน)
ค่าใช้จ่ายเช่นค่าเล่าเรียน อาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายส่วนตัว ที่ต้องมีให้พอเพียง
สำหรับการเรียนในสถาบันของรัฐโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 15,000.- 20,000.-ฟรังค์สวิส *
การเรียนในสถาบันเอกชนแตกต่างกันไประหว่างปีละ 30,000 – 65,000.- ฟรังค์สวิส*ขึ้นอยู่กับสถาบันและหลักสูตรที่เรียน ซึ่งรวม ค่าเล่าเรียน อาหาร ที่พักและค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่เป็นตัวแปรหลักของค่าใช้จ่ายรวม
(* อัตราแลกเปลี่ยนตามสถานการณ์โลก ในปี 2003 อยู่ระหว่าง 31 – 36 บาท ต่อ 1 ฟรังค์สวิส)
อย่างไรก็ดีการเรียนในสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่ได้แพงกว่าที่อื่นๆ เมื่อเทียบกันแล้วโรงเรียนที่มีมาตรฐานเดียวกันก็มีค่าเล่าเรียนที่ใกล้กันทั่วโลกต่างกันก็ที่อัตราแลกเปลี่ยนเท่านั้น
การเรียนในสถาบันของรัฐไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน เสียเพียงค่าสมัคร ค่ารักษาสถานภาพของนักเรียนแต่ละมหาวิทยาลัยก็แตกต่างกัน (ระหว่าง 800-1500 ฟรังค์สวิสต่อปี)ค่าสอบค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวดังนั้นกฏเกณฑ์การรับเข้าจึงยากกว่าการเข้าเรียนในวิทยาลัยเอกชนซึ่งต้องเสียค่าเล่าเรียนเป็นเทอมเช่นเดียวกับในอังกฤษอเมริกาหรือออสเตรเลียและค่าประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่นักเรียนทุกคนต้องทำอัตราค่าเบี้ยประกันขึ้นอยู่กับบริษัท อายุของผู้ทำประกันและระยะเวลา (ระหว่าง 90 - 220 .-ฟรังค์ต่อเดือน)
ค่าใช้จ่ายเช่นค่าเล่าเรียน อาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายส่วนตัว ที่ต้องมีให้พอเพียง
สำหรับการเรียนในสถาบันของรัฐโดยเฉลี่ยประมาณปีละ 15,000.- 20,000.-ฟรังค์สวิส *
การเรียนในสถาบันเอกชนแตกต่างกันไประหว่างปีละ 30,000 – 65,000.- ฟรังค์สวิส*ขึ้นอยู่กับสถาบันและหลักสูตรที่เรียน ซึ่งรวม ค่าเล่าเรียน อาหาร ที่พักและค่าใช้จ่ายส่วนตัวที่เป็นตัวแปรหลักของค่าใช้จ่ายรวม
(* อัตราแลกเปลี่ยนตามสถานการณ์โลก ในปี 2003 อยู่ระหว่าง 31 – 36 บาท ต่อ 1 ฟรังค์สวิส)
การธนาคารและประกันภัย
ชาวสวิสนับเป็นพลเมืองที่มีรายได้ประชาชาติสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอาชีพพิเศษได้แก่ การเป็นทหารรับจ้าง ชายชาวสวิสอายุ 20 ขึ้นไปทุกคนต้องได้รับการฝึกเป็นทหารและต้องซ้อมฝึกทุก 2 ปีจนกว่าจะอายุ 50
ที่พัก
สถานศึกษาของรัฐไม่มีการบริการในเรื่องการจัดหาสถานที่พักให้แต่ในทุกมหาวิทยาลัยมีสำนักเลขานุการสำหรับดูแลนักเรียนต่างชาติซึ่งมีการจัดหาข้อมูลเรื่องที่พักไว้บริการ แต่ไม่รับติดต่อให้นักเรียนต้องติดต่อ
สถาบันเอกชนมีบริการครบรูปแบบตั้งแต่จัดหาสถานที่พักทุกชนิด ตั้งแต่ Family ,Studio, Apartment มีบริการอาหาร หรือหาเองบางแห่งก็สามารถพักได้ในสถาบันบริการรถรับส่งที่สนามบิน หรือสถานีรถไฟค่าบริการก็แตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้บริการ
หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูลสถาบันต่างๆและการศึกษาต่อในสวิตเซอร์แลนด์ในประเทศไทยได้แก่ฝ่ายวัฒนธรรมและการศึกษาสถานทูตสวิตเซอร์แลนด์ และองค์กรที่เป็นตัวแทนของสถาบันในประเทศไทย
ในสวิตเซอร์แลนด์นักเรียนไทยควรรายงานตัวกับสถานทูตไทย ณ กรุง Bern
เงินตราและบัตรเครดิต
เงินตราของสวิตเซอร์แลนด์เรียกว่า "ฟรังก์สวิส" โดย 1 ฟรังก์สวิส เท่ากับประมาณ 35 บาท (อัตราเดือนตุลาคม 2548) สามารถแลกเปลี่ยนเงินตราได้ตามธนาคารทุกแห่ง ท่าอากาศยานสถานีรถไฟตามเมืองใหญ่ และโรงแรมทั่วไป ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารจะได้อัตราดีที่สุด
บัตรเครดิตที่สามารถใช้จ่ายได้จะต้องเป็นประเภทบัตรเครดิตที่ได้รับการยอมรับ อาทิ วีซ่ามาสเตอร์การ์ด และอเมริกันเอ็กซ์เพรสการใช้บริการจากธุรกิจในสวิตเซอร์แลนด์ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯมักจะรวมค่าบริการไว้เรียบร้อยแล้วแต่ผู้ใช้บริการก็อาจให้ทิปเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจเท่านั้น
การคมนาคม
สวิตเซอร์แลนด์ใช้ระบบขนส่งมวลชน รถเมล์ รถราง และเรือโดยสาร ถือว่าสะดวกรวดเร็วตรงเวลา และราคาไม่แพง ส่วนการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว (การจราจรขับชิดขวา) ต้องเสียค่าธรรมเนียมในสถานที่จอดรถตามเมืองใหญ่ระบบไปรษณีย์สวิสที่เชื่อถือได้ และมีบริการตู้โทรศัพท์สาธารณะทั่วไปสามารถตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์และส่ง E-mail ได้จากตู้โทรศัพท์สาธารณะ
การแต่งกาย
สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีอากาศหนาวจัดบนพื้นที่ภูเขาและที่สูงในฤดูหนาวการแต่งกายควรให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจึงควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วยแม้จะไม่ใช่ฤดูหนาวและตรวจดูสภาพความพร้อมของร่างกาย หากจำเป็นต้องขึ้นภูเขาที่สูงมาก (3,000 เมตรหรือสูงกว่า) เนื่องจากอากาศอาจมีปริมาณออกซิเจนต่ำอาจเกิดปัญหาสุขภาพได้
ชุมชนไทย
มีชาวไทยพำนักอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ประมาณ 12,000 คน เป็นชายร้อยละ 20 หญิงร้อยละ 80 สมาคม/ชมรมไทยอยู่ประมาณ 15 แห่ง วัดไทยอยู่ 3 แห่งคือวัดศรีนครินทราวราราม ตั้งอยู่ที่เมือง Aarauโทรศัพท์ (+4162) 858-6030 วัดธรรมปาละตั้งอยู่ที่เมืองKandersteg
ชาวสวิสนับเป็นพลเมืองที่มีรายได้ประชาชาติสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอาชีพพิเศษได้แก่ การเป็นทหารรับจ้าง ชายชาวสวิสอายุ 20 ขึ้นไปทุกคนต้องได้รับการฝึกเป็นทหารและต้องซ้อมฝึกทุก 2 ปีจนกว่าจะอายุ 50
ที่พัก
สถานศึกษาของรัฐไม่มีการบริการในเรื่องการจัดหาสถานที่พักให้แต่ในทุกมหาวิทยาลัยมีสำนักเลขานุการสำหรับดูแลนักเรียนต่างชาติซึ่งมีการจัดหาข้อมูลเรื่องที่พักไว้บริการ แต่ไม่รับติดต่อให้นักเรียนต้องติดต่อ
สถาบันเอกชนมีบริการครบรูปแบบตั้งแต่จัดหาสถานที่พักทุกชนิด ตั้งแต่ Family ,Studio, Apartment มีบริการอาหาร หรือหาเองบางแห่งก็สามารถพักได้ในสถาบันบริการรถรับส่งที่สนามบิน หรือสถานีรถไฟค่าบริการก็แตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้ใช้บริการ
หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือในเรื่องของข้อมูลสถาบันต่างๆและการศึกษาต่อในสวิตเซอร์แลนด์ในประเทศไทยได้แก่ฝ่ายวัฒนธรรมและการศึกษาสถานทูตสวิตเซอร์แลนด์ และองค์กรที่เป็นตัวแทนของสถาบันในประเทศไทย
ในสวิตเซอร์แลนด์นักเรียนไทยควรรายงานตัวกับสถานทูตไทย ณ กรุง Bern
เงินตราและบัตรเครดิต
เงินตราของสวิตเซอร์แลนด์เรียกว่า "ฟรังก์สวิส" โดย 1 ฟรังก์สวิส เท่ากับประมาณ 35 บาท (อัตราเดือนตุลาคม 2548) สามารถแลกเปลี่ยนเงินตราได้ตามธนาคารทุกแห่ง ท่าอากาศยานสถานีรถไฟตามเมืองใหญ่ และโรงแรมทั่วไป ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารจะได้อัตราดีที่สุด
บัตรเครดิตที่สามารถใช้จ่ายได้จะต้องเป็นประเภทบัตรเครดิตที่ได้รับการยอมรับ อาทิ วีซ่ามาสเตอร์การ์ด และอเมริกันเอ็กซ์เพรสการใช้บริการจากธุรกิจในสวิตเซอร์แลนด์ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯมักจะรวมค่าบริการไว้เรียบร้อยแล้วแต่ผู้ใช้บริการก็อาจให้ทิปเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจเท่านั้น
การคมนาคม
สวิตเซอร์แลนด์ใช้ระบบขนส่งมวลชน รถเมล์ รถราง และเรือโดยสาร ถือว่าสะดวกรวดเร็วตรงเวลา และราคาไม่แพง ส่วนการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว (การจราจรขับชิดขวา) ต้องเสียค่าธรรมเนียมในสถานที่จอดรถตามเมืองใหญ่ระบบไปรษณีย์สวิสที่เชื่อถือได้ และมีบริการตู้โทรศัพท์สาธารณะทั่วไปสามารถตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์และส่ง E-mail ได้จากตู้โทรศัพท์สาธารณะ
การแต่งกาย
สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีอากาศหนาวจัดบนพื้นที่ภูเขาและที่สูงในฤดูหนาวการแต่งกายควรให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอจึงควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วยแม้จะไม่ใช่ฤดูหนาวและตรวจดูสภาพความพร้อมของร่างกาย หากจำเป็นต้องขึ้นภูเขาที่สูงมาก (3,000 เมตรหรือสูงกว่า) เนื่องจากอากาศอาจมีปริมาณออกซิเจนต่ำอาจเกิดปัญหาสุขภาพได้
ชุมชนไทย
มีชาวไทยพำนักอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ประมาณ 12,000 คน เป็นชายร้อยละ 20 หญิงร้อยละ 80 สมาคม/ชมรมไทยอยู่ประมาณ 15 แห่ง วัดไทยอยู่ 3 แห่งคือวัดศรีนครินทราวราราม ตั้งอยู่ที่เมือง Aarauโทรศัพท์ (+4162) 858-6030 วัดธรรมปาละตั้งอยู่ที่เมืองKandersteg
สถานเอกอัครราชทูตไทย
ณ กรุงเบิร์น
Royal Thai Royal Embassy , Bern
โทรศัพท์(+4131) 970-3030, 970-3411
โทรสาร (+4131) 970-3035
หน่วยงานราชการไทย
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำนครซูริค
Royal Thai Honorary. Consulate- General, Zurich
โทรศัพท์ (+4143) 344-7000
โทรสาร (+4143) 344-7001
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำนครเจนีวา
Royal Thai Honorary. Consulate- General, Geneva
โทรศัพท์ (+4122) 311-07263
โทรสาร (+4122) 311-0049
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำเมืองบาเซล
Royal Thai Honorary Consulate
โทรศัพท์ (+4161) 206-4565
โทรสาร (+4161) 206-4546
Royal Thai Royal Embassy , Bern
โทรศัพท์(+4131) 970-3030, 970-3411
โทรสาร (+4131) 970-3035
หน่วยงานราชการไทย
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำนครซูริค
Royal Thai Honorary. Consulate- General, Zurich
โทรศัพท์ (+4143) 344-7000
โทรสาร (+4143) 344-7001
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำนครเจนีวา
Royal Thai Honorary. Consulate- General, Geneva
โทรศัพท์ (+4122) 311-07263
โทรสาร (+4122) 311-0049
สถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำเมืองบาเซล
Royal Thai Honorary Consulate
โทรศัพท์ (+4161) 206-4565
โทรสาร (+4161) 206-4546
การขอวีซ่าสวิสแลนด์
(Switzerland
Visa)
เอกสารการขอวีซ่าประเภทนักเรียน
การขอวีซ่าเข้าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ประเภทนักเรียนนั้นผู้ขอต้องยื่นหลักฐานและข้อมูลดังต่อไปนี้ด้วยตนเองแบบคำร้องขอวีซ่าที่กรอกและลงลายมือชื่อโดยสมบูรณ์ โดยผู้ยื่นคำร้องจำนวน 3 ชุด
หนังสือเดินทาง(โปรดแนบสำเนา 1 แผ่น ด้วย) หลังการเยือนสวิตเซอร์แลนด์แล้วยังต้องมีอายุใช้ได้ไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
รูปถ่ายปัจจุบันขนาดติดหนังสือเดินทาง 3 ใบ
ผู้ยื่นคำร้องต้องให้ข้อมูลต่อไปนี้ (โปรดแนบสำเนา 2 ชุด)
จดหมายจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ตอบรับผู้ยื่นคำร้องเข้าศึกษา
หลักฐานแสดงการชำระค่าเล่าเรียน
หลักฐานการเงินซึ่งแสดงว่าสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายระหว่างการพำนักอยู่ในสวิตแซอร์แลนด์หรืออย่างน้อยสำหรับการพำนักเป็นเวลา 1 ปีในกรณีที่การศึกษาใช้ระยะเวลานานกว่า 1 ปี (สมุดคู่ฝากเงินธนาคารของผู้ยื่นคำร้อง, สมุดคู่ฝากเงินธนาคารและจดหมายรับรองจากบิดา-มารดา, สมุดคู่ฝากเงินธนาคารและจดหมายรับรองจากผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ)
หลักฐานการศึกษา(วุฒิการศึกษาที่สำเร็จแล้ว และประวัติการศึกษา (CV)
จดหมายยืนยันว่าจะเดินทางออกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์หลังการพำนักอยู่ตามที่ขออนุญาตไว้
วัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ผู้ยื่นคำร้องควรแสดงให้เห็นว่าการศึกษาที่ประสงค์จะศึกษา (ภาษา, โรงแรม, มหาวิทยาลัย,ฯลฯ) นั้น จำเป็นต่อการศึกษาต่อหรือการทำงานในประเทศไทย)
แผนการในอนาคตของผู้ยื่นคำร้องหลังสำเร็จการศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ค่าธรรมเนียมวีซ่า 40 ฟรังก์สวิส เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 20 ฟรังก์สวิส (ชำระเป็นเงินไทย)
สถานเอกอัครราชทูตฯ จะประเมินความรู้ด้านภาษาของผู้ยื่นคำร้องด้วย
แบบคำร้องขอวีซ่าประเภทนักเรียนจะถูกส่งไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพิจารณาอนุมัติตำรวจควบคุมคนต่างด้าวของจังหวัดที่เกี่ยวข้องอาจจะขอเอกสารหรือข้อมูลเพิ่มเติมโปรดทราบว่ากระบวนการพิจารณาคำร้องขอเดินทางเข้าสวิตเซอร์แลนด์อาจใช้เวลาถึง 3 เดือน
การขอวีซ่าเข้าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ประเภทนักเรียนนั้นผู้ขอต้องยื่นหลักฐานและข้อมูลดังต่อไปนี้ด้วยตนเองแบบคำร้องขอวีซ่าที่กรอกและลงลายมือชื่อโดยสมบูรณ์ โดยผู้ยื่นคำร้องจำนวน 3 ชุด
หนังสือเดินทาง(โปรดแนบสำเนา 1 แผ่น ด้วย) หลังการเยือนสวิตเซอร์แลนด์แล้วยังต้องมีอายุใช้ได้ไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
รูปถ่ายปัจจุบันขนาดติดหนังสือเดินทาง 3 ใบ
ผู้ยื่นคำร้องต้องให้ข้อมูลต่อไปนี้ (โปรดแนบสำเนา 2 ชุด)
จดหมายจากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ตอบรับผู้ยื่นคำร้องเข้าศึกษา
หลักฐานแสดงการชำระค่าเล่าเรียน
หลักฐานการเงินซึ่งแสดงว่าสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายระหว่างการพำนักอยู่ในสวิตแซอร์แลนด์หรืออย่างน้อยสำหรับการพำนักเป็นเวลา 1 ปีในกรณีที่การศึกษาใช้ระยะเวลานานกว่า 1 ปี (สมุดคู่ฝากเงินธนาคารของผู้ยื่นคำร้อง, สมุดคู่ฝากเงินธนาคารและจดหมายรับรองจากบิดา-มารดา, สมุดคู่ฝากเงินธนาคารและจดหมายรับรองจากผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ)
หลักฐานการศึกษา(วุฒิการศึกษาที่สำเร็จแล้ว และประวัติการศึกษา (CV)
จดหมายยืนยันว่าจะเดินทางออกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์หลังการพำนักอยู่ตามที่ขออนุญาตไว้
วัตถุประสงค์ที่ต้องการศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ผู้ยื่นคำร้องควรแสดงให้เห็นว่าการศึกษาที่ประสงค์จะศึกษา (ภาษา, โรงแรม, มหาวิทยาลัย,ฯลฯ) นั้น จำเป็นต่อการศึกษาต่อหรือการทำงานในประเทศไทย)
แผนการในอนาคตของผู้ยื่นคำร้องหลังสำเร็จการศึกษาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ค่าธรรมเนียมวีซ่า 40 ฟรังก์สวิส เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 20 ฟรังก์สวิส (ชำระเป็นเงินไทย)
สถานเอกอัครราชทูตฯ จะประเมินความรู้ด้านภาษาของผู้ยื่นคำร้องด้วย
แบบคำร้องขอวีซ่าประเภทนักเรียนจะถูกส่งไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องในประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อพิจารณาอนุมัติตำรวจควบคุมคนต่างด้าวของจังหวัดที่เกี่ยวข้องอาจจะขอเอกสารหรือข้อมูลเพิ่มเติมโปรดทราบว่ากระบวนการพิจารณาคำร้องขอเดินทางเข้าสวิตเซอร์แลนด์อาจใช้เวลาถึง 3 เดือน
ที่มา
http://campus.sanook.com/education/oversea/read_03777.php
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)